บาทแข็งค่าแตะจุดสูงสุด 4 ปี – เสี่ยงซ้ำเติมส่งออก–ท่องเที่ยวในปีที่เศรษฐกิจโลกฝืดเคือง

กรุงเทพฯ — ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึงราว 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 เป็นการแข็งค่ารอบ 4 ปี ทำให้ภาคส่งออกและการท่องเที่ยว — ซึ่งเป็นเสาหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย — ต้องเผชิญแรงกดดันหนักในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวอย่างไม่แน่นอน
เงินบาทที่แข็งค่าทำให้สินค้าส่งออกของไทยถูก “แพงขึ้น” ในสายตาผู้ซื้อจากต่างประเทศ และทำให้การท่องเที่ยวไทยเสียเปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคที่มีค่าเงินอ่อนกว่า “ตลาดเลือกจ่ายน้อย” ได้เปรียบ ความได้เปรียบทางราคาอาจคลายตัวหรือลดลง
อุตสาหกรรมที่แสดงความกังวล ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มส่งออกสำคัญของไทย โดยผู้ผลิตกล่าวว่าพวกเขา “อยู่ในการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น” เมื่อค่าเงินบาทเพิ่มขึ้น
ท่ามกลางภาวะบาทแข็ง รัฐบาลและธนาคารกลางกำลังกำหนดนโยบายเพื่อรับมือ ทั้งการประสานงานระหว่างหน่วยงาน หามาตรการชะลอการไหลของทุนระหว่างประเทศ และพิจารณามาตรการทางการเงินหรือการแทรกแซงในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงกดดันต่อภาคส่งออก แต่ไทยยังมีจุดแข็ง เช่น ความสามารถเชื่อมโยงทางการค้าในอาเซียน ความใกล้ชิดกับตลาดหลัก และศักยภาพการดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูง (premium tourists) ที่ไม่อ่อนไหวกับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน
มุมวิเคราะห์ & ข้อเสนอแนะ
- หากเงินบาทแข็งติดต่อกันในระยะยาว จะเป็นดาบสองคม: ประชาชนอาจได้เปรียบเรื่องกำลังซื้อเมื่อสินค้านำเข้า, แต่ผู้ประกอบการส่งออกอาจอ่อนแรงในตลาดต่างประเทศ
- รัฐบาลควรใช้ชุดมาตรการประสาน (monetary + fiscal + trade) เพื่อรับมือ ไม่ใช่แก้ปัญหาเชิงเดี่ยว
- ในระยะกลาง-ยาว: ประเทศไทยควรเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ — เสริมมูลค่าส่งออก พัฒนานวัตกรรม — เพื่อให้ไม่พึ่งพาราคาหรืออาศัยอัตราแลกเปลี่ยน
ในปีที่เศรษฐกิจโลกเผชิญแรงลมย้อนกลับ การจัดการกับอัตราแลกเปลี่ยนถือเป็นงานหนัก แต่หากบริหารได้รอบด้าน ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนเพื่อขับเคลื่อนไทยให้ “รอด” และ “แข็งแรง” ไปพร้อมกับกระแสโลก